วันอาทิตย์ที่ 19 มกราคม พ.ศ. 2557

South Africa (แอฟริกาใต้)

 



ข้อมูลทั่วไปประเทศแอฟริกาใต้
ประเทศแอฟริกาใต้ หรือ สาธารณรัฐแอฟริกาใต้ (อังกฤษ: The Republic of South Africa) หรืออาจเรียกสั้น ๆ ว่า "แอฟริกาใต้" (ต่างจาก "แอฟริกาตอนใต้" ซึ่งเป็นภูมิภาคประกอบไปด้วยหลายประเทศ รวมถึงประเทศแอฟริกาใต้) เป็นประเทศอิสระที่อยู่ตอนปลายทางใต้สุดของทวีปแอฟริกา มีพรมแดนติดกับ ประเทศนามิเบีย ประเทศบอตสวานา ประเทศซิมบับเว ประเทศโมซัมบิก และ ประเทศสวาซิแลนด์ ส่วนประเทศเลโซโท (Lesotho) เป็นดินแดนที่ถูกล้อมรอบทุกด้านด้วยอาณาเขตของประเทศแอฟริกาใต้ รวมทั้งยังเป็นประเทศส่งออกเพชรและ ทองคำมีชาวพื้นเมืองผิวขาวได้แก่ ชาวแอฟริกัน ที่สืบเชื้อสายจากชาวดัตช์ ที่มาตั้งถิ่นฐานเป็นกลุ่มแรก ปัจจุบันมีทั้งชาวดัตช์ เยอรมัน ฝรั่งเศส อังกฤษ และชนเผ่าพื้นเมือง คือ ซูลู
ประวัติศาสตร์ประเทศแอฟริกาใต้


ซูลู (อังกฤษ: Zulu - ภาษาอังกฤษอัฟริกาใต้) เป็นชนเผ่ากลุ่มหนึ่งของแอฟริกา มีจำนวนประชากรประมาณ 11ล้านคน ส่วนใหญ่อยู่อาศัยในควาซูลู-นาตาล แอฟริกาใต้ มีจำนวนเล็กน้อยที่อยู่อาศัยในซิมบับเว แซมเบียและโมแซมบีกภาษาอีซิซูลู (isiZulu) เป็นสาขาหนึ่งของภาษาบันตู (Bantu)ซึ่งจัดอยู่ในภาษา ลุ่มย่อย "นูนิ"(Nguni)ราชอาณาจักรซูลูมีบทบาทสำคัญมาก ในประวัติศาสตร์ ของประเทศแอฟริกาใต้ โดยเฉพาะในช่วงระหว่าง พ.ศ. 2344 - พ.ศ. 2444 (คริสต์ศตวรรษที่ 19Th-20th) ในยุคแห่งการถือผิว ชาวซูลูถูกจัดให้เป็นประชาชนชั้น 2และถูกดูถูกเหยียดหยามอย่างรุนแรง ปัจจุบันชาวซูลูเป็นชนเผ่าที่เป็นประชา กรส่วนใหญ่ของประเทศแอฟริกาใต้และม ี สิทธิเสรีภาพแห่งมนุษยชนเท่าเทียม กับประชาชนทุกเชื้อชาติและชนเผ่าในประเทศ
วัฒนธรรมและประชากรประเทศเอฟริกาใต้
ดอกไม้ประจำชาติคือ ดอกคิง โพรเธีย และสัตว์ประจำชาติคือ กวาง Springbokประมาณ 45 ล้านคน (2544) เป็นคนผิวดำร้อยละ 75.2 ผิวขาวร้อยละ 13.6 ผิวสีผสมร้อยละ 8.6 และคนเชื้อชาติอินเดียร้อยละ 2.6

สภาพภูมิอากาศแอฟริกาใต้
สภาพภูมิอากาศในแอฟริกาใต้ส่วนใหญ่จะกึ่งแห้งแล้งด้านชายฝั่งตะวันออกจะกึ่งร้อนชื้นด้านตะวันตกเฉียงเหนือ จะแห้งแล้ง แถบเมืองเคปทาวน์จะมีอากาศแบบเมดิเตอร์เรเนียน อุณหภูมิจะอยู่ระหว่าง 0-35 องศาเซลเซียส ในฤดูร้อนจะร้อนและแห้ง ฤดูหนาวจะเย็นและฝนตกเนื่องจากแอฟริกาใต้ตั้งอยู่ในซีกโลกใต้ฤดูกาลจึงตรงข้ามกับ อเมริกาเหนือและยุโรป เรียนภาษาอังกฤษที่เคปทาวน์และรื่นรมย์กับอากาศแบบเมดิเตอร์เรเนียน
ฤดูกาลใน แอฟริกาใต้
ฤดูใบไม้ผลิ – กันยายน, ตุลาคม, พฤศจิกายน
ฤดูร้อน – ธันวาคม, มกราคม, กุมภาพันธ์
ฤดูใบไม้ร่วง – มีนาคม, เมษายน, พฤษภาคม
ฤดูใบไม้ร่วง – มีนาคม, เมษายน, พฤษภาคม

ภาษาแอฟริกาใต้
ภาษาอังกฤษ และ Afrikaans ภาษาอื่นที่ใช้ คือ Ndebele, Sotho, Swazi, Tsonga, Venda, Tswana, Xhosa, Pedi และ Zulu
สถานที่ท่องเที่ยวแนะนำประเทศแอฟริกาใต้
เหมืองทองโบราณโกลด์รีฟซิตี้ (Gold reef city) เป็นที่ตั้งของสวนสนุก และ เหมืองทองโบราณ "โกลด์รีฟ ซิ้ตี้ สร้างขึ้นเพื่อฉลองครบรอบ 100 ปี แห่งการค้นพบทองคำในแอฟริกาใต้ อาคารภายในสร้างจำลองเลียนแบบและบางแห่งยกของจริงที่ ยังเหลือ อยู่ของสมัยนั้นมาจัดเป็นพิพิธภัณฑ์ กลางแจ้งให้ชม จุดน่าสน ในอยู่ที่ การลงไปชมเหมืองทองใต้ดิน ดูวิธีการขุดทองในสมัยเก่าเทียบกับสมัย ใหม่ และชมสภาพความเป็นอยู่ของกรรมกรเหมืองที่แทบไม่ได้เห็นแสง สว่าง ที่สำคัญที่สุดคือ ได้เห็นสายแร่ทองที่ฝังอยู่ในเนื้อหิน ชมการหลอม ทอง พิพิธภัณฑ์เหรียญกษาปณ์และที่น่าสนใจอีกอย่างหนึ่งคือ เครื่องเล่น ท้าทายความมีใจถึงโดยให้นั่งบนกระเช้าเหล็กที่หล่นลง มาในแนวดิ่ง 90 องศาจากความสูงเท่ากับอาคาร 10 ชั้น
การท่องป่าซาฟารี (Safari) ไฮไลท์ของการเที่ยวแอฟริการใต้ คือ การท่องเที่ยวแบบซาฟารี ชมสัตว์ป่าที่มีชีวิตอยู่อย่างอิสระเสรีตามธรรมชาติ ในป่าซึ่ง ป่าโปร่ง ป่าละเมาะ และทุ่งหญ้า สะวันนา จนถึงกึ่งทะเลทราย แอฟริกาใต้ มีสัตว์ป่ากว่า 220 ชนิด แรงเจอร์ (Ranger) หรือผู้พิทักษ์ป่าและนักตามรอย (Tracker) จะเป็นผู้ขับรถพาชม สัตว์ป่าซาฟารี รถที่ จัดพานั่งชมถ้าเป็นในอุทยานแห่งชาติ จะเป็นรถตู้ หรือรถจิ๊ปมีหลังคา ต่ถ้าเป็นเกมรีเสิร์ฟเอกชนที่ไม่ปล่อยเสือและสิงโตเดินเป็นอิสระ จะให้นั่งรถเปิดประทุนควรออกชมสัตว์ตั้งแต่เช้ามืด ก่อนพระอา ทิตย์ขึ้น เพราะเป็นเวลาที่สัตว์หากินกลางคืน ยังคงเดินวนเวียนและหากินกลางวันเริ่มออกหากินเป็นช่วงที่พบ เห็น สัตว์ได้มาก ชนิดที่สุด ช่วงบ่ายถึงเย็น สัตว์หากินกลางคืนเริ่มตื่น นอน สัตว์หากินกลางวันจะมาชุมนุมตามบ่อน้ำ การดักเฝ้าดูใกล้ ๆ บ่อน้ำจะได้เห็นสัตว์หลายชนิดรวมทั้งอาจได้ภาพของฝูงเสือและ สิงโต ในเวลากลางวันอากาศจะร้อนจัด สัตว์ส่วนใหญ่จะหลบ ร้อนในที่ร่ม สิงโตและ เสือชีต้า จะนอนอยู่ใต้ต้นไม้ในพงหญ้า ส่วนเสือดาวจะนอนอยู่บนคาคบไม้ ตอนกลางคืนสัตว์ประเภทล่าเนื้อจะออกหากิน การออกไปส่องชมสัตว์อาจจะได้เห็นการล่าเหยื่อ สัตว์ใหญ่ 5 ชนิด แห่งป่าซาฟารี หรือThe Big Five คือ ช้าง แรด ควายป่า เสือดาวและ สิงโต

แหลมกู๊ดโฮป (Cape of Good Hope) แหลมที่มีชื่อเสียงที่สุดแห่งหนึ่งในโลก อยู่ห่างจากเคปทาวน์ราว60กิโลเมตร ในเขตสงวน Cape of Good Hope Nature Reserveแหลมนี้ไม่ใช่ส่วนใต้ที่สุดของทวีปแต่มีชื่อเสียงมากกว่า แหลม ที่อยู่ใต้สุดคือ CapeAgulhasปลายสุดของแหลมมีประภาคาร เห็นรอยตะเข็บที่มหาสมุทรอินเดียกับแอตแลนติกมาพบกันได้ อย่างชัดเจนบนผิวน้ำอากาศบริเวณนี้จะแปรปรวนในทะเลมีหมอก จัดเพราะกระแสน้ำที่มีอุณหภูมิไม่เท่ากันมาปะทะกัน ยากต่อการเดิน เรือในสมัยโบราณ และก่อให้เกิดภาพหลอนมิติอันลึกลับและเรื่องเล่า ขานเกี่ยวกับฟลายอิ้งดัตซ์แมน ( Flying Dutchman) เรือที่พยายามจะ อ้อม ผ่านแหลมกู๊ดโฮปแต่ทำไม่สำเร็จ สูญหายไปเป็นเวลาหลาย ศตวรรษมาแล้ว แต่ยังมีผู้เห็นเรือปีศาจลอยลำหาทางไปในทะเล หมอกหนาทึบจนทุกวันนี้

เกาะแมวน้ำ ฮูทเบย์หมู่บ้านชาวประมงซึ่งกลายเป็นเมืองขนาดเล็ก มีท่าเทียบเรือและภัตตาคารอาหารทะเลมีเรือออกไปชมแมวน้ำ ที่เกาะดุยเกอร์ (Dduiker) ใช้เวลานั่งเรือไปกลับรวม 1 ชั่งโมง ทั้งมีเรือล่องชมพระอาทิตย์ตกดินจากฮูทเบย์ไปขึ้นที่วิคทอเรียและ อัลเบิร์ตวอเตอร์ ฟร้อนท์ด้วย

กรูทคอนสแตนเทีย (Groot Constantia) ไร่องุ่นและแหล่งทำเหล้าองุ่นที่เก่าแก่ที่สุดของแอฟริกาใต้ สร้างขึ้นตั้งแต่ปี ค.ศ. 1692 โดยผู้ว่าการเมืองชาวดัตซ์ ปัจจุบันยังคงดำเนินการทำเหล้าองุ่นและเปิดให้คนทั่วไป เข้าชมการผลิตภายในบริเวณมีอาคารพิพิธภัณฑ์ไวน์ แสดงประวัติความเป็นมาของไวน์ย้อนหลังไปถึง 500ปี คริสตกาล ในช่วงศตวรรษที่ 18-19 ไวน์เป็นอุตสาหกรรมที่สำคัญผู้ผลิตเมื่อขายไวน์ได้ก็สร้างบ้าน และโรงบ่มที่สวย งามด้วยสถาปัตยกรรมที่เรียกว่าเคป ดัตซ์(Cape Dutch) ตัวอาคารสีขาว หลังคามุงหญ้า มีลวดลายปูนปั้นตรงหน้าจั่วเป็นเอกลักษณ์ที่ยังอยู่คู่กับไวน์มาจนทุกวันนี้ ไร่องุ่นแทบ ทุกแห่งมีร้านอาหาร และที่พักขนาดย่อมไว้ต้อนรับนักท่อง เที่ยวเมืองหลวง ที่สำคัญในการทำไวน์ คือ สแตลเลนบอช (Stellenbosch)

เทเบิลเมาท์เทน (Table Mountain) ภูเขาสูงยอดตัดตรง เหมือนกับโต๊ะสูงกว่า 1,000 เมตร เป็นสัญลักษณ์ของเคปทาวน์ และเป็นที่ชมวิวได้ดีที่สุด อากาศเย็นและมีลมแรงบางครั้งจะปกคลุมด้วยหมอกและ ปุยเมฆ ที่เรียกว่าผ้าปูโต๊ะ (Table Cloth) การขึ้นไปบน เทเบิลเมาท์เทนที่สะดวกที่สุด คือ นั่งรถกระเช้า (Cable Car)
ฟาร์มนกกระจอกเทศฟาร์มนกกระจอกเทศ WESTCOAST OSTRICH RANCH เป็นที่เพาะเลี้ยงนกกระจอกเทศ ซึ่งเป็นนกที่ตัวใหญ่ที่สุดในโลก บางตัวสูงถึง9 ฟุต วิ่งเร็วได้ถึง 60 ไมค์ต่อชั่วโมง นกพวกนี้มีถิ่นกำเนิดอยู่ในแอฟริกา ตัวผู้มีขนสีดำ ตัวเมียจะมีขน สีเทา ฟาร์มนกกระจอกเทศ เป็นธุรกิจอุตสาหกรรมที่ทำรายได้ เนื้อทำสเต็กชั้นดี รสชาติ คล้ายเนื้อวัวแต่อร่อยและหวานกว่า ขนใช้ทำเครื่องประดับ ส่วนหนังทำรองเท้า กระเป๋า และของท ี่ระลึกอื่น ๆ เปลือกไข่สามารถนำมา วาดรูป ระบายสี ลวดลาย สวยงามได้ ธุรกิจฟาร์มนกกระจอกเทศเคยเจริญรุ่งเรืองมากในต้นศตวรรษที่ 19 ประมาณ ค.ศ. 1910 ในยุคนั้นทั่วโลกนิยมขนนกกระ จอกเทศนำมาทำเครื่องประดับ และของใช้สตรี กกระจอกเทศตัวเมียจะ ออกไข่เมื่อมีอายุได้ 3 ปีขึ้นไป และสามารถออกไข่ได้มากสุดถึง 85 ฟอง ใช้เวลาฟัก ประมาณ 45 วันไข่ใบหนึ่งนำมาทอดเป็นไข่เจียว ให้คนกินได้ถึง 20 คน
คิมเบอร์ลี (Kimberley) หลุมเหมืองเพชรที่ใหญ่ที่สุดสร้างโดยฝีมือมนุษย์ คิมเบอร์ลี เป็นเมืองหลวงของจังหวัดนอร์ธเคปที่มีชื่อเสียงโด่งดังในฐานะเป็นแหล่งผลิตเพชรคุณภาพสูง และมีหลุมซึ่งเกิดจากการขุดเหมืองเพชรที่ใหญ่ที่สุดในโลก แอฟริกาใต้มีแร่ทองคำและแพลทตินั่มมากถึง 70% ของโลกและเป็นประเทศ ผู้ส่งออกเพชรที่ใหญ่เป็นอันดับสี่ของโลก
อุทยานแห่งชาติครูเกอร์ (Kruger National Park) 
มีชื่อเสียงก้องโลกในแอฟริกานักท่องเที่ยวจะได้สัมผัสกับชีวิตของสัตว์ป่าได้ดีที่สุดในแอฟริกาและทั่วโลก อุทยานแห่งชาติ ครูเกอร์กิน พื้นที่กว้างเกือบ 2 ล้านเฮกเตอร์

อุทยานแห่งชาติช้างแอดโด้ (Addo Elephant Park)
แหล่งชมโขลงช้างที่น่าตื่นเต้นที่สุดในโลก อยู่ลึกเข้าไปในเงา ของหุบเขาแห่งบุชเวลด์ (Bushveld) แถบซันเดย์ริเวอร์ในอีสเธิร์น เคปคืออุทยานแห่งชาติช้างแอดโด้ ซึ่งเป็นเขตปลอดมาลาเรียที่ อยู่ห่างจากพอร์ท อลิซาเบธ เดินทางโดยรถยนต์เพียงหนึ่งชั่วโมง เท่านั้น อุทยานแห่งชาติช้างแอดโด้ (Addo Elephant Park) แหล่ง ชมโขลงช้างที่น่าตื่นเต้นที่สุดในโลก อยู่ลึกเข้าไปในเงาของหุบ เขาแห่งบุชเวลด์ (Bushveld)แถบซันเดย์ริเวอร์ในอีสเธิร์นเคปคือ อุทยานแห่งชาติช้างแอดโด้ ซึ่งเป็นเขตปลอดมาลาเรียที่อยู่ห่าง จากพอร์ท อลิซาเบธ เดินทางโดยรถยนต์เพียงหนึ่งชั่วโมงเท่านั้น
อุทยานแห่งชาติโกลเด้นเกทไฮแลนดส์ (Golden Gate
Highlands National Park) ตั้งอยู่เชิงเขามาลูติ (Maluti Mountains) ทางทิศตะวันออกเฉียง เหนือของจังหวัดฟรีสเตท (Free State) อุทยานแห่งนี้ได้ชื่อมาจากแสงอาทิตย์สีทองที่สาดส่องมากระทบกับผาหินทรายภายในบริเวณอุทยาน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง หินที่ชื่อ ว่าแบรนด์แวก ร็อค (Brandwag rock) ที่ตระหง่านอยู่เหนือบริเวณ แคมป์ที่พัก อาณาบริเวณที่กว้างขวางถึง 11,600 เฮกเตอร์แห่งนี้ มีสภาพแวดล้อมเฉพาะตัว และเป็นถิ่นที่อยู่ของสัตว์ในเขตที่ราบ สูงมากมาย ทั้งสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม เช่น วิลเดอร์บีสต์ (Black Wildebeest) ละมั่งอีแลน (Eland) กวางออริบิ (Oribi) ละมั่งสปริง บอค (Springbok) และ ม้าลายเบอร์เชลล์ (Burchell''s zebra)  รวม ถึงฝูงนกนานาพันธุ์ และนกหายาก เช่น นกแร้ง Bearded Vulture (Lammergeier) รวมไปถึงนกช้อนหอยหายากพันธุ์ Bald Ibis ซึ่ง มีแหล่งผสมพันธุ์บริเวณแง่ผาหินทราย
เวนด้า (Venda) ดินแดนในตำนาน เหนือขึ้นไปใกล้ๆ กับชายแดนประเทศซิมบับเว นักท่องเที่ยวจะได้สัมผัสกับถิ่นที่อยู่ของชนเผ่าเวนด้า ซึ่งเป็นกลุ่ม ประชากรในพื้นที่  พวกเวนด้ามีรูปร่างลักษณะที่สง่างาม สูงยาวและ ผิวดำเข้ม เชื่อกันว่าพวกเวนด้าได้อพยพข้ามแม่น้ำลิมโปโปมาตั้งถิ่น ฐานอยู่ ที่นี่ตั้งแต่ศตวรรษที่ 12 และได้ต่อสู้ปกป้องดินแดนจากการ รุกราน ของชนเผ่างูนิ (Nguni) 
และ วูร์