วันศุกร์ที่ 15 พฤศจิกายน พ.ศ. 2556

"อิตาลี" สถานที่ท่องเที่ยวที่น่าไปเยี่ยมชม

อิตาลี เป็นหนึ่งในประเทศที่มีเสน่ห์น่าสนใจแห่งหนึ่งของโลก..
เป็นดินแดนแห่งวัฒนธรรม กว่าศตวรรษที่กำเนิดและเจริญรุ่งเรืองมาจนถึงทุกวันนี้..
เป็นศูนย์กลางของจักรวรรดิอันยิ่งใหญ่ในอดีตกาล ที่ครอบคลุมตลอดอาณานิคม
ดินแดนแถบทะเลเมดิเตอร์เรเนียน...
โรม มิลาน เวนิส ฟลอเรนซ์ เช่นเดียวกับเมืองน้อยใหญ่อื่นๆที่สวยสดงดงาม
พร้อมทั้งประวัติ ศาสตร์ร่องรอยที่ฝังใจอันจะเห็นได้จากอนุสาวรีย์และธรรมชาติของเมืองนั้นๆ ...
คนทั่วทุกมุมโลกวันแล้ววันเล่า ต่างมาเยือนความสวยงามของอิตาลี
โดยเฉพาะอย่างยิ่งคู่ฮันนีมูนหนุ่มสาวต่างปรารถนาที่จะมาดื่มน้ำผึ้งพระจันทร์..
ดินแดนในฝันแห่ง ความรักและโรมานซ์.


สนามกีฬาโคลอสเซียม มรดกโลก อิตาลี


โคลอสเซียม หรือโคลิเซียม (อังกฤษ: Colosseum,Coliseum หรือ Flavian Amphitheatre; อิตาลี: Colosseo - โคลอสโซ) เป็นสนามกีฬากลางแจ้งขนาดใหญ่ตั้งอยู่ใจกลางกรุงโรม เริ่มสร้างขึ้นในสมัยจักรพรรดิเวสเปเซียนแห่งจักรวรรดิโรมัน และสร้างเสร็จในสมัยของจักรพรรดิไททัส ในคริสต์ศตวรรษที่ 1 หรือประมาณปี ค.ศ. 80 อัฒจันทร์เป็นรูปวงกลมก่อด้วยอิฐและหินทรายวัดโดยรอบได้ประมาณ 527 เมตร สูง 57 เมตร สามารถจุผู้ชมได้ประมาณ 50,000 คน ใต้อัฒจรรย์ และใต้ดินมีห้องสำหรับขังนักโทษที่รอการประหารชีวิต และสิงโตหลายร้อยห้อง ใช้เป็นสถานที่ให้นักโทษ ต่อสู้กับสิงโตที่อดอาหาร หากนักโทษผู้ใดเอาชนะ ฆ่าสิงโตได้ด้วยมือเปล่าได้ก็รอดชีวิตไป หรือไว้ใช้เป็นที่ประลองฝีมือในเชิงฟันดาบของบรรดาเหล่าทาสให้ต่อสู้กันเอง ยิ่งถ้าต่อสู้กัน จนถึงสามารถฆ่าคู่ต่อสู้ตาย ก็จะได้รับเกียรติอย่างสูงเพราะเป็นการต่อสู้ที่ชาวโรมันนิยมและยกย่องกันมากปีๆหนึ่งต้องสูญเสียชีวิตนัก โทษและทาสไม่ต่ำกว่าร้อยคน สนามกีฬาแห่งนี้มีการออกแบบอย่างชาญฉลาดโดยสร้างให้สนามกีฬามีลักษณะเป็นรูปวงรี เพื่อให้ผู้ชมรู้สึกเข้าใกล้นักกีฬา และมีการออกแบบทางระบายน้ำเพื่อไม่ให้น้ำท่วมขังในสนามขณะเกิดฝนตก ถือเป็นต้นแบบของสนามกีฬาต่างๆในปัจจุบัน
          ในวันที่ 7 ก.ค. 2550 โคลอสเซียมได้รับเลือกให้เป็น 1 ใน 7 สิ่งมหัศจรรย์ของโลกยุคใหม่ จากการลงคะแนนผ่านทางอินเตอร์เน็ตและโทรศัพท์มือถือจากทั่วโลก

เวนิส เมืองสุดโรแมนติกติดอันดับโลก


 เวนิส เป็นเมืองหลวงของแคว้นเวเนโต มีประชากร 271,663 คน (ข้อมูลวันที่ 1 มกราคม 2547) เมืองเวนิสได้รับฉายาว่า ราชินีแห่งทะเลอาเดรียตริก (Queen of the Adriatic), เมืองแห่งสายน้ำ (City of Water), เมืองแห่งสะพาน (City of Bridges), และ เมืองแห่งแสงสว่าง (The City of Light)
            เมืองเวนิสถูกสร้างขึ้นจากการเชื่อมเกาะเล็กๆ จำนวนมากเข้าด้วยกันในบริเวณทะเลสาบเวนิเทีย ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของทะเลอาเดรียตริก ในภาคเหนือของประเทศอิตาลี ทะเลสาบน้ำเค็มนี้ตั้งอยู่บริเวณชายฝั่งระหว่างปากแม่น้ำโปกับแม่น้ำพลาวิ มีผู้อยู่อาศัยโดยประมาณ 272,000 คน ซึ่งนับรวมหมดทั้งเวนิส โดยมี 62,000 คนในบริเวณเมืองเก่า 176,000 คนในเทอร์ราเฟอร์มา (Terraferma) และ 31,000 คนในเกาะอื่นๆ ในทะเลสาบ
 เรือกอนโดลา (Gondola) เป็นเรือพายพื้นบ้านของชาวเวนิส ใช้เป็นพาหนะหลักของการเดินทางในเมืองเวนิส ประเทศอิตาลีมานานหลายร้อยปี และปัจจุบันได้กลายมาเป็นสัญลักษณ์ของเมืองเวนิส มีความเชื่อมาว่า ถ้าคู่รักได้จูบกัน เมื่อตอนระฆังปาไนล์ดังตอนเย็น  ขณะลอดข้ามสะพานถอนหายใจ ถือว่าคนนั้นจะรักกันยืนนาน

น้ำพุเทรวี่


 "น้ำพุเทรวี่" ตั้งอยู่ใจกลางกรุงโรม ประเทศอิตาลี เริ่มเป็นที่รู้จักและมีชื่อเสียงจากภาพยนตร์เรื่อง "Three Coins in the Fountain" น้ำพุแห่งนี้นับเป็นน้ำพุที่สถาปัตยกรรมงดงามมาก ซึ่งเป็นผลงานของสถาปนิก ชื่อ Francesco Salvi ในช่วงศตวรรษที่ 17 น้ำพุเทรวี่นี้ถือเป็นผลงานชิ้นเอกที่สร้างความประทับให้กับนักท่องเที่ยวทั่วโลกเลยทีเดียว   ส่วนกลางของน้ำพุ มีรูปปั้นของเทพเจ้าเนปจูน (Neptune) ขี่รถม้าติดปีก แสดงถึงความมีสุขภาพที่แข็งแรง และความอุดมสมบูรณ์ของอาณาจักร
      ตามธรรมเนียมแล้ว นักท่องเที่ยวที่มาชมน้ำพุเทรวี่แห่งนี้ ควรจะโยนเหรียญ 1 เหรียญลงไปในสระ โดยมีความเชื่อกันว่า หากโยนเหรียญลงไปแล้ว จะได้กลับมาเยือนกรุงโรมอีกครั้งหนึ่ง

หอเอนเมืองปิซา


หอเอนแห่งเมืองปิซา ตั้งอยู่ที่เมืองปิซา ประเทศอิตาลี เป็น 1 ใน 7 สิ่งมหัศจรรย์ของโลก เป็นหอคอยหินอ่อนที่พิศดาร สูง 54 เมตร (181 ฟุต) มี 8 ชั้น แต่ละชั้นมีเสาหินอ่อนที่สลักลวดลายวิจิตรรองรับ ได้ลงมือสร้างเมื่อ พ.ศ. 1717 (ค.ศ. 1174) ไปเสร็จในปี พ.ศ. 1893 (ค.ศ. 1350) ใช้เวานานถึง 176 ปี ซึ่งเป็นสิ่งก่อสร้างที่ใช้เวลาสร้างนานที่สุดในโลก ความน่ามหัศจรรย์อีกอย่าง คือ เมื่อเริ่มสร้างได้ 4-5 ชั้น หอนี้เริ่มเอียง แต่ไม่ถึงกับพังทลายลงมา เพราะแรงที่จุดศูนย์ถ่วง เมื่อลากดิ่งลงมาไม่ออกนอกฐานจึงไม่ล้มยังทรงตัวอยู่ได้ เมื่อสร้างเสร็จ ยอดของหอเอียงออกจากแนวดิ่งของฐานถึง 4 เมตร(14 ฟุต) และหอเอนนี้ช่วยให้กาลิเลโอ นักวิทยาศาสตร์ ชาวอิตาเลียน ผู้มีชื่อเสียงของโลก ได้ทดลองเรื่องอัตราเร็วของเทห์วัตถุที่ตกลงมาจากที่สูง 

มหาวิหารเซนต์ปีเตอร์


 มหาวิหารเซนต์ปีเตอร์ (Basilica of Saint Peter) รู้จักกันโดยชาวอิตาลีว่า Basilica di San Pietro in Vaticano หรือเรียกกันสั้นๆว่าเซนต์ปีเตอร์บาซิลิกา (Saint Peter's Basilica) มหาวิหารนี้เป็นมหาวิหารหนึ่งในสี่ของมหาวิหารหลักในกรุงโรม, ประเทศอิตาลี (อีกสามมหาวิหารคือ: มหาวิหารเซ็นต์จอห์นแลเตอร์รัน, มหาวิหารซานตามาเรียมายอเร และ มหาวิหารเซ็นต์พอลนอกกำแพง อยู่ในนครรัฐวาติกัน เป็นดินแดนที่ตั้งอยู่ใจกลางกรุงโรม ประเทศอิตาลีเป็นที่ประทับของpope ซึ่งเป็นประมุขสูงสุดแห่งศาสนาคริสต์ นิกายRoman Catholic State of the Vatican City จัดว่าเป็นประเทศ ที่มีขนาดเล็กที่สุดในโลก ศูนย์กลางคือ มหาวิหาร St. Peter ที่ออกแบบโดยอัจฉริยะบุคคล Michelangelo
 มหาวิหารเซนต์ปีเตอร์เป็นสิ่งก่อสร้างที่ใหญ่และสำคัญที่สุดในนครรัฐวาติกันสร้างทับวิหารเดิมที่ชื่อเดียวกัน โดมของมหาวิหารเซนต์ปีเตอร์สูงโดดเด่นสามารถเห็นได้แต่ไกลในตัวเมืองโรม วัดนี้ตั้งอยู่ในเนื้อที่ประมาณ 2.3 เฮกตาร์ สามารถจุคนได้กว่า 60,000 คน เป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ที่สุดที่หนึ่งของคริสตชนนิกายโรมันคาทอลิก ที่ตั้งวัดเชื่อกันว่าเป็นที่ฝังร่างของ นักบุญปีเตอร์ ซึ่งเป็นหนึ่งในสาวกสิบสององค์ของพระเยซู ภายในมีรูปสลักปิเอตา (Pietà) ซึ่งเป็นผลงานของไมเคิลแองเจโล เป็นรูปสลักหินอ่อนพระแม่มาเรียประทับบนแท่นหิน ขณะที่รองรับพระศพของพระบุตรไว้ในท่าพาดบนตักหลังจากที่ถูกนำลงจากไม้กางเขน

วิหารพาร์เธนอน


วิหารพาร์เธนอน (Parthenon) คือวิหารโบราณบนเนินอะโครโพลิสในกรุงเอเธนส์ ประเทศกรีซ สร้างเพื่อเป็นศาสนสถานบูชาเทพีเอเธนา หรือเทพีแห่งปัญญา ความรอบรู้ ในศตวรรษที่ 5 ก่อนคริสต์ศักราช เป็นสิ่งก่อสร้าง สถาปัตยกรรม กรีกโบราณ ที่มีชื่อเสียงที่สุด แสดงให้เห็นถึงความเฉลียวฉลาด ของสถาปนิก ในสมัยนั้น และ ถือได้ว่า เป็นหนึ่งในสิ่งก่อสร้างที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลก มีขนาดกว้าง 101.4 ฟุต หรือ 30.9 เมตร และ ยาว 228.0 ฟุต หรือ 69.5 เมตร คำว่า พาร์เธนอน นั้นน่าจะมาจาก ประติมากรรม ที่เคยตั้งอยู่ภายในวิหาร คือ Athena Parthenos ซึ่งมีความหมายว่า เทพีอันบริสุทธิ์ ซากที่ยังเหลือให้เห็น ก็คือ โครงสร้างที่ค้ำด้วย เสาหินอ่อน สีอมชมพู และหน้าบันบางส่วน ส่วนภายในเคยมี ประติมากรรม เทพีอาธีนา ขนาดใหญ่ตั้งอยู่ วิหารนี้ใช้เป็นที่บวงสรวง เทพีอาธีนา ต่อมาใช้เป็น โบสถ์ของชาว คริสต์นิกายออร์โธดอกซ์ แล้วก็เปลี่ยนมาเป็น โบสถ์คาทอลิก จนกระทั่งในยุคที่ ชาวเติร์ก ครองเมืองถูกดัดแปลงมาเป็น มัสยิด และในที่สุด ก็ถูกใช้เป็นที่เก็บดินปืน ในสงครามระหว่างเติร์ก กับ เวเนเชี่ยน (Venetian) ทำให้ถูกระเบิดเสียหายไปบางส่วน และ วิหารพาร์เธนอน มาทรุดโทรมอย่างหนัก เมื่อคราวสงคราม กอบกู้อิสรภาพของกรีก จาก เติร์ก

ปอมเปอี โศกนาฏกรรมแห่งเมืองภูเขาไฟ


"ปอมเปอี-Pompei" เป็นเมืองเก่าสมัยกลาง ตั้งอยู่บริเวณภาคใต้ของคาบสมุทรอิตาลี ริมอ่าวเนเปิล เมืองนี้เป็นชุมชนขึ้นมาก่อนคริสต์ศักราช โดยอยู่ใต้ อิทธิพลของกรีก ต่อมาราว 80 ปีก่อนคริสตกาลกลายเป็นเมืองตากอากาศฤดูร้อนของชาวโรมันหลังตกเป็นอาณานิคมของอาณาจักรโรมัน กระทั่งค.ศ.63 เกิดแผ่นดินไหวรุนแรง เมืองรุ่งเรืองสมบูรณ์แบบกลายเป็นซากปรักหักพังทันที
             มีบันทึกถึงภัยพิบัติครั้งนั้นว่าเกิดขึ้นเพราะบริเวณที่ตั้งของเมืองเป็นจุดเดียวกับที่ตั้งของภูเขาไฟใต้น้ำชื่อซอมมา นักโบราณคดีเชื่อว่าซอมมาระเบิดครั้งแรกเมื่อ 10,000 ปีที่แล้ว ขณะนั้นบริเวณดังกล่าวยังเป็นส่วนหนึ่งของอ่าวเนเปิล นอกจากแผ่นดินไหวในค.ศ.63 แล้ว บริเวณนี้ยังเกิดแผ่นดินไหวอีกหลายครั้งตลอดเวลาที่ภูเขาไฟระอุอยู่
             แล้วก็ถึงครั้งสาหัส เหตุเกิดวันที่ 24 สิงหาคม ค.ศ.79 ภูเขาไฟวิซูเวียสระเบิด ลาวาร้อนไฟลุกทะลักโถมกลบพื้นที่เป็นบริเวณกว้างไกล เมืองปอมเปอี เฮอร์คูลาเนียม และสตาบิเอ หายไป ผู้รอดชีวิตจากลาวามหาประลัยบันทึกเหตุการณ์ผ่านจดหมาย แล้วก็กลายเป็นจดหมายเหตุประวัติศาสตร์ได้ข้อมูลว่าเมืองปอมเปอียามนั้นมีประชากรประมาณ 20,000 คน ถูกหินไฟเหลวกลบสิ้นชีวิต 2,000 คน.
             กว่า 1,500 ปีต่อมามีการขุดซากเมืองและบูรณะเป็นระยะๆ นับจากค.ศ.1748 ตราบจนปี 1860 การขุดสำรวจเริ่มเป็นไปตามหลักวิชาการมากขึ้นด้วยเทคนิคยุคใหม่ทำให้ชาวโลกในปัจจุบันได้มีความรู้ ข้อมูลที่มีค่ายิ่งเกี่ยวกับชีวิตชาวโรมันในศตวรรษที่ 1
             เมื่อขุดผืนดินที่ทับถมออกหมดสิ้นก็ได้พบซากเมืองใหญ่โต สร้างด้วยหินแข็งแรง ได้เห็นผังเมือง และภายในกำแพงที่โอบล้อมตัวเมือง มีถนนหนทาง ใจกลางเมืองมีจัตุรัส วิหาร อนุสรณ์สถาน สำนักงานราชการ ตลาด ร้านค้า โรงละคร สนามกีฬา บ้านเรือน และโรงอาบน้ำสาธารณะ รวมทั้งรูปปั้นและสิ่งของ เครื่องใช้เครื่องประดับตกแต่งจำนวนมากมาย เป็นสมบัติล้ำค่าทางประวัติศาสตร์โบราณคดีที่ให้ข้อมูลที่ถูกต้องแน่ชัดที่สุดเกี่ยวกับโรมันยุคนั้น
             หลายจุดน่าสลด พบซากชาวปอมเปเอียนและสัตว์เลี้ยงแข็งเป็นหินคงสภาพเกือบทุกประการ รวมถึงความหวาดกลัวต่อความตายที่ยังตราติดอยู่บนดวงหน้า บางซากนั่งเอามือปิดหน้า บางซากซบอยู่กับกำแพง ปอมเปอีจึงได้อีกชื่อว่า "ซากเมืองแห่งความตาย"

สุดสยอง !!! สถานที่ท่องเที่ยว ทัวร์สุสาน มัมมี่ อิตาลี


 Capuchin catacombs of Palermo คือ สุสานใต้ดิน ในเมืองพาเลอร์โม ( Palermo ) บนเกาะซิซิลี ( Sicily ) ทางเหนือ ของ ประเทศอิตาลี ( Italy ) ในช่วงปี 1534 เหล่าพระคาปูชิน ที่อยู่ในวัดที่ พาเลอร์โม เมื่อมรณภาพจะใช้การฝังในถ้ำ เมื่อเวลาผ่านไปถ้ำดังกล่าวเกิดเต็มจนไม่สามารถใช้ฝังพระได้อีกต่อไป ทำให้ในปี ค.ศ. 1599 จึงเริ่มีการขุดอุโมงค์ใต้อารามเพื่อดัดแปลงเป็นที่ฝังศพแทนถ้ำที่เต็มหลังขุดเสร็จ หลวงพ่อ Silvestro of Gubbio เป็นพระรูปแรกที่ถูกฝังที่สุสานนี้ และถือเป็นจุดเริ่มต้นของ 1 ใน สถานที่ท่องเที่ยว สุดสยอง ที่ได้รับความนิยมที่สุดใน ประเทศอิตาลี่
ในช่วงแรกในการสร้าง สุสานใต้ดิน คาปูชิน แห่ง พาเลอร์โม นั้นต้องการเป็นที่เก็บศพของพระ เท่านั้น เวลาผ่านไปเป็นร้อยๆปี จนกระทั้งในปี 1871 หลวงพ่อ ลิคคาร์โด เป็นพระ รูปสุดท้ายที่ถูกนำศพมาเก็บไว้ที่สุสานแห่งนี้ แต่คนชั้นสูง หรือผู้ร่ำรวยที่จะต้องการรักษาศพของตน ไว้ในสุสานแห่งนี้ แต่ต้องเสียค่าใช้จ่ายให้ทางวัดเป็นรายปีเพื่อการฝังศพไว้ในสุสานนี้ เรือยๆมาจนกระทั้งศพสุดท้ายที่นำเข้ามเก็บทีนี้ในช่วงปี 1920 ซึ่งเวลานั้นรวมทั้งหมดมีศพ ฝังอยู่กว่า 8,000 ศพ และหนึ่งในศพท้ายที่นำเข้าฝังไว้ที่สุสานนี้ คือศพของ Rosalia Lombardo และเธอถือเป็น จุดดึงดูด นักท่องเที่ยว ที่สำคัญที่สุดสำหรับ สุสานใต้ดิน คาปูชิน แห่ง พาเลอร์โม
ข้อควรระวังในการไปอิตาลี
      ♦ การท่องเที่ยวในอิตาลีไม่ควรใส่เครื่องประดับที่เป็นของมีค่าและแต่งตัวดึงดูดความสนใจ การถูกล้วงกระเป๋า และถูกโจรกรรมเกิดขึ้นได้ทุกที่โดยเฉพาะที่มีคนเบียดเสียดหนาแน่น เช่น บริเวณสถานีรถไฟ สนามบิน รถเมล์ รถไฟใต้ดิน และแม้แต่ในโรงแรมที่ท่านพำนัก       ♦ ขณะที่ท่านรับประทานอาหาร หากไม่ระมัดระวังกระเป๋าถือและของมีค่า ท่านอาจจะถูกฉกกระเป๋าและสิ่งของของท่านไปได้โดยง่าย
      ♦ การซื้อของควรนับเงินทอนให้ครบต่อหน้าผู้ขาย การใช้บัตรเครดิต ควรให้ผู้ขายรูดบัตรต่อหน้าท่าน
      ♦ ควรระวังคนมาตีสนิท และตำรวจปลอมขอตรวจบัตร